บัวขาว บัญชาเมฆ นักมวยไทยที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ

Banchamek1

แม้ว่าวงการมวยไทยในช่วงหลังนี้จะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างซบเซาและไม่ได้รับความนิยมเหมือนกับยุคอดีต แต่ว่าก็ยังคงมีนักมวยไทยคนหนึ่งที่สามารถปลุกกระแสให้คนไทยหันกลับมาดูมวยไทยกันได้บ้างไม่มากก็น้อย นักมวยคนนั้นมีชื่อว่า บัวชาว บัญชาเมฆ หรือในอดีตเรารู้จักเขาในนาม ป. ประมุข นั่นเอง แม้ว่าจะชื่อบัวขาวแต่ลักษณะผิวพรรณของเจ้าตัวเป็นไปคนละสไตล์กับชื่อด้วยผิวที่ดำขำน่าเกรงขามทำให้เจ้าตัวนั้นกลายเป็นที่สนใจและเป็นขวัญใจของคนไทยในช่วงที่ผ่านมา

บัวขาว บัญชาเมฆ หรือชื่อเดิม สมบัติ เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2528 เริ่มต้นการชกมวยไทยเป็นครั้งแรกเมื่ออายุได้ 8 ขวบ โดยต่อยอยู่ในอำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินทางเข้ามายังกรุงเทพและมาอาศัยอยู่ที่ค่ายมวย ป.ประมุข เมื่ออายุได้ 15 ปี ด้วยพรสวรรค์บวกกับพรแสวงในการฝึกซ้อมทำให้บัวขาวสามารถคว้าแชมป์เวทีมวยรายการต่างๆ ในประเทศไทยได้อย่างมากมาย ทั้งแชมป์มวยไทยเวทีสยามอ้อมน้อย รุ่นเฟเธอร์เวท แชมป์ประเทศไทยในรุ่นเดียวกัน และเป็นแชมป์เวทีมวยไทยสยามอ้อมน้อย อีกครั้งในรุ่นไลท์เวท และมวยไทยมาราธอนเมื่อปี พ.ศ. 2545 เจ้าตัวก็สามารถคว้าแชมป์ได้ จากความเก่งกาจทำให้ไม่มีนักมวยไทยคนไหนกล้าต่อกรกับเจ้าตัวนั่นทำให้เขาตัดสินใจที่จะเริ่มเบนเข็มตัวเองไปต่อยในสิ่งที่ท้าทายกว่าอย่าง เค-วัน ในปี พ.ศ. 2547 บัวขาวได้ลงชกมวยในศึก เค-วัน เวิลด์แม็กซ์ 2004 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และสามารถคว้าแชมป์มาได้สำเร็จ และในปีถัดมาเป็นที่น่าเสียดายที่เจ้าตัวพลาดท่าแพ้คะแนนในนัดชิงชนะเลิศ ทำให้อดคว้าแชมป์สมัยที่ 2 ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2549 ก็สามารถคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง และยังทำสถิติเป็นนักมวยคนแรกที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้ 2 สมัย ทำให้ชื่อเสียงของเขาดังกระฉ่อนไปทั่วโลก และได้กลับมาต่อยมวยในประเทศไทยอีกครั้งกับศึกไทยไฟต์เมื่อปี พ.ศ. 2554 และก็สามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ทว่าในปี พ.ศ. 2555 บัวขาวกลับหายออกไปจากค่ายอย่างสุดงงของคนที่รู้ข่าวก่อนเจ้าตัวจะออกมาเปิดเผยความในใจและขึ้นชกรายการไทยไฟต์ที่พัทยา

หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ได้ตัดสินใจกลับมาเปิดค่ายมวยที่บ้านเกิดของตัวเอง โดยใช้ชื่อค่ายว่า ค่ายบัญชาเมฆ เพื่อให้คนที่สนใจได้เรียนรู้ถึงศิลปะมวยไทยอย่างใกล้ชิดที่สุดโดยเฉพาะเด็กๆ เยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติ ต้องถือได้ว่าสิ่งที่เจ้าตัวสามารถทำได้นั้นนำมาซึ่งชื่อเสียงให้กับประเทศชาติอย่างแท้จริง